1. ทำความรู้จักกับ WordPress หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า เว็บไซต์ WordPress

WordPress คือ ? ทำไมเว็บไซต์กว่าหนึ่งในสามของโลกจึงเลือกใช้ระบบนี้

ที่จริงแล้ว WordPress มันคือระบบจัดการเนื้อหา (Content Management System หรือ CMS) ที่ใช้สำหรับสร้างและบริหารจัดการเว็บไซต์นั่นเอง เหมือนกับ Strapi หรือ Sanity ฝั่ง Javascript นั่นเอง แต่จุดเด่นที่สุดของ WordPress คือมันสามารถใช้งานได้ง่ายโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดที่ซับซ้อนเลย และที่สำคัญมันยังเป็นแบบ โอเพนซอร์ส (Open Source) ที่สามารถใช้งานได้ฟรีและพัฒนาต่อยอดได้หลากหลายตามความเหมาะสมกับการใช้งาน

ซึ่งเดิมทีนั้น WordPress ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มสำหรับบล็อกเกอร์ในปี 2003 แต่ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ WordPress กลายเป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ที่สามารถสร้างเว็บไซต์ได้หลากหลายประเภท

• เว็บไซต์ธุรกิจและองค์กร
• ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce)
• พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio)
• เว็บไซต์ข่าวสารและนิตยสาร
• ฟอรัม หรือชุมชนออนไลน์

สาเหตุที่ WordPress สามารถทำระบบเหล่านี้ได้ คือความยืดหยุ่นในการ Custom Functions ต่างๆ ที่ออกแบบมาให้นักพัฒนา ใช้งานง่าย ด้วยระบบ Themes และ Plugins ที่สามารถติดตั้งได้จาก Dashboard หลังบ้านได้เลย และ Ecosystems ที่ใหญ่มากและมีนักพัฒนาหลายล้านคนใช้งานและอัพเดทประสิทธิภาพอยู่เสมอนั่นเอง

2. ประเภทของ WordPress .com และ .org

เมื่อพูดถึง WordPress ผู้ใช้งานใหม่มักจะสับสนระหว่างสองแพลตฟอร์มหลัก ซึ่งมีวิธีการใช้งานและการจัดการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

2.1 WordPress.org (Self-Hosted)

นี่คือ WordPress ดั้งเดิมและเป็นที่นิยมที่สุด โดยเป็นระบบ CMS แบบโอเพนซอร์สที่คุณสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ “ฟรี”

• การควบคุม: คุณต้องรับผิดชอบในการหาโฮสติ้ง (Hosting) และชื่อโดเมนด้วยตนเอง (Self-Hosted)
• ความยืดหยุ่น: ให้การควบคุมเต็มรูปแบบ สามารถปรับแต่งโค้ด ติดตั้ง Theme และ Plug-in ได้ไม่จำกัด
• เหมาะสำหรับ: ธุรกิจ, นักพัฒนา, ผู้ที่ต้องการปรับแต่งเว็บไซต์ขั้นสูง

2.2 WordPress.com (Hosted Service)

เป็นบริการเชิงพาณิชย์ที่ดูแลและจัดการโดยบริษัท ผู้สร้าง WordPress

• การควบคุม: เป็นบริการแบบสำเร็จรูป คุณไม่ต้องกังวลเรื่องโฮสติ้งหรือการอัปเดตระบบ WordPress จะดูแลให้ทั้งหมด
• ความยืดหยุ่น: มีข้อจำกัดในการปรับแต่งและการติดตั้ง Plug-in ในแผนบริการฟรีหรือแผนพื้นฐาน
• เหมาะสำหรับ: บล็อกเกอร์มือใหม่, ผู้ที่ต้องการเว็บไซต์แบบรวดเร็วและง่ายดาย โดยไม่ต้องการความยุ่งยากในการดูแลระบบ

3. ข้อดีของ WordPress มีอะไรบ้าง ?

หากคุณกำลังพิจารณาว่า WordPress ดีไหม และเหมาะสมกับโครงการของคุณหรือไม่ ลองพิจารณาข้อดีหลัก ๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ WordPress ครองแชมป์ CMS มาอย่างยาวนาน

3.1 ใช้งานง่ายและเป็นมิตรต่อผู้เริ่มต้น (User-Friendly)

WordPress มี Dashboard (ระบบหลังบ้าน) ที่เข้าใจง่าย ทำให้ผู้ใช้งานที่ไม่มีประสบการณ์ด้านเทคนิคสามารถอัปโหลดเนื้อหา จัดการหน้าเพจ และปรับแต่งรูปลักษณ์เบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง

3.2 ความยืดหยุ่นสูงด้วย Plug-in และ Theme

นี่คือจุดแข็งที่สุดของ เว็บไซต์ wordpress

• Themes: มี Theme ฟรีและเสียเงินให้เลือกนับหมื่นรายการ ทำให้คุณสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเว็บไซต์ได้ทันทีโดยไม่ต้องเขียนโค้ด
• Plug-ins: มี Plug-in มากกว่า 50,000 รายการ ช่วยเพิ่มฟังก์ชันพิเศษ เช่น การสร้างฟอร์มติดต่อ, การทำ SEO, การสร้างร้านค้าออนไลน์ (ผ่าน WooCommerce) หรือระบบสำรองข้อมูล

3.3 เป็นมิตรต่อ SEO (Search Engine Optimization)

WordPress ถูกสร้างมาโดยคำนึงถึงการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา Google เป็นอย่างดี นอกจากโครงสร้างพื้นฐานที่ดีแล้ว ยังมี Plug-in ด้าน SEO ชั้นนำ เช่น Yoast SEO หรือ Rank Math ที่ช่วยให้คุณจัดการ Title, Meta Description, และปรับปรุงความเร็วของ เว็บ WordPress ได้ง่ายขึ้น

3.4 ชุมชนขนาดใหญ่ (Massive Community Support)

เนื่องจาก WordPress เป็นระบบที่ได้รับความนิยมทั่วโลก หากคุณพบปัญหาในการใช้งาน คุณสามารถหาข้อมูล คำแนะนำ หรือผู้เชี่ยวชาญจากชุมชนออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว

3.5 ต้นทุนต่ำ (โดยเฉพาะ WordPress.org)

ซอฟต์แวร์หลักนั้นฟรี ต้นทุนเริ่มต้นส่วนใหญ่จึงอยู่ที่ค่าโฮสติ้งและโดเมน ซึ่งค่อนข้างคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการพัฒนาเว็บไซต์ขึ้นมาเองทั้งหมด

4. ข้อจำกัดของ WordPress มีอะไรบ้าง

ถึงแม้ว่า เว็บไซต์ WordPress จะมีข้อดีมากมายโดยเฉพาะในเรื่องของการใช้งานที่ง่าย และเริ่มต้นได้ไว รวมถึงต้นทุนที่ต่ำกว่าการทำ Custom Website ก็ตามแต่ก็มีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น

4.1 ภาระในการดูแลความปลอดภัย (สำหรับ WordPress.org)

เนื่องจาก WordPress เป็นระบบโอเพนซอร์สที่ได้รับความนิยมสูง จึงมักตกเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดี หากคุณใช้ WordPress.org คุณต้องรับผิดชอบในการอัปเดต Core System, Plug-ins, และ Themes อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

4.2 ต้องใช้โฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพ

WordPress โดยเฉพาะเมื่อมีการติดตั้ง Plug-in และ Theme จำนวนมาก อาจต้องการทรัพยากร (เช่น CPU และ RAM) จากโฮสติ้งค่อนข้างสูง หากใช้โฮสติ้งราคาถูกหรือคุณภาพต่ำ อาจทำให้ เว็บไซต์ WordPress ทำงานช้าลง

4.3 อาจมีความซับซ้อนเมื่อต้องการปรับแต่งขั้นสูง

แม้ว่าการใช้งานพื้นฐานจะง่าย แต่หากต้องการปรับแต่งการทำงานของ Plug-in หรือ Themes ในระดับโค้ด ผู้ใช้งานอาจต้องมีความรู้ด้าน HTML, CSS, หรือ PHP บ้าง ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับผู้ที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์

4.4 ปัญหาความเข้ากันได้ (Compatibility Issues)

เนื่องจาก Plug-in และ Themes ถูกพัฒนาโดยนักพัฒนาหลายราย การอัปเดตระบบหลัก (Core System) อาจส่งผลให้ Plug-in เก่าบางตัวทำงานผิดพลาดได้ ดังนั้นการจัดการและอัปเดตจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำอย่างระมัดระวัง

5. แล้วยังควรทำ เว็บไซต์ WordPress อยู่ไหม ในปี 2025 ?

โดยรวมแล้ว WordPress ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ยืดหยุ่น และพร้อมสำหรับการเติบโต และ เว็บไซต์ส่วนใหญ่ในโลกยังคงใช้งานระบบ WordPress อยู่ในปัจจุบัน ทำให้ยังมีการอัพเกรด พัฒนา และมี Ecosystems ที่พร้อมซัพพอร์ตและตอบคำถามคุณอยู่ตลอดมากกว่า ชุมชนอื่นๆ

ดังนั้นคำถามที่ว่า เว็บไซต์ WordPress คือระบบที่เหมาะกับคุณหรือไม่ คำตอบคือ: เหมาะอย่างยิ่ง

• หากคุณต้องการทำเว็บไซต์เพื่อสร้างธุรกิจ อย่างรวดเร็ว ด้วยตนเองได้
• หากคุณต้องการความยืดหยุ่น และประหยัดต้นทุนในการเริ่มธุรกิจ
• หากคุณต้องการทำ Online Marketing เช่น SEO หรือ SEM
• หากคุณต้องการ Scale Project ในอนาคต ตามแพลนที่วางไว้

รวมถึงไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากศูนย์หรือต้องการย้ายเว็บไซต์เดิมมายังแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งกว่า การเริ่มต้นสร้าง
เว็บไซต์ WordPress คือก้าวแรกที่ชาญฉลาดในโลก Digital Marketing